ศศิพงษา จันทรสาขา
หัวหน้าโครงการมุกดาหาร Learning City และตัวแทนเครือข่ายสมาคมมุกดาหารเมืองสามธรรม
มุกดาหารเป็นเมืองเล็กๆ ครับ เป็นจังหวัดที่ 73 ของประเทศไทย เรามีพื้นที่ ประมาณ 2ล้าน ตร.กม. มีประชากรราว ๆ สามแสนห้าหมื่นคน มี 7 อำเภอ ภาพรวมของภูมิประเทศส่วนหนึ่งเราติดกับภูพาน และอีกส่วนติดแม่น้ำโขง ฝั่งตรงข้ามเป็น แขวงสวรรค์เขต ของ สปป.ลาว มีประชากรอยู่ไม่น้อยประมาณหนึ่งล้านสามแสนคน ถ้าพิจารณาบริบทพื้นที่ จริง ๆ แล้วแต่ครั้งอดีตเมืองมุกดาหารเป็นเมืองเศรษฐกิจมาแต่ไหนแต่ไร เป็นการค้าขายระหว่างประเทศจากไทย ไปลาว ถึงเวียดนาม และทางเรือในสมัยก่อนก็จะเชื่อมไปถึงจีนและญี่ปุ่น ถ้าเป็นบริบทในปัจจุบันเมืองของเราตั้งอยู่บนระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก East-West Corridor เรามีสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 2 ช่วยเรื่องการขนส่งชายแดน ถือว่าเป็นระบบโลจิสติกส์มูลค่ากว่าสามแสนล้านบาท จะเป็นรองก็แค่ด่านสะเดา
นอกจากการค้าชายแดนที่เป็นหนึ่งในรายได้ของคนมุกดาหาร ที่นี่เราก็มีเรื่องเกษตรกรรม มี อ้อย กล้วย มัน ยาง และก็มีภาคการค้าการขาย กับภาคท่องเที่ยวในพื้นที่เมือง ซึ่งยังไม่ค่อยบูม และยังเติบโตได้อีก ผมมองว่าจริง ๆ มุกดาหารมีมีต้นทุนที่ดีจำนวนมาก และหลากหลาย เหตุที่โครงการมุกดาหารเมืองแห่งการเรียนรู้เลือกประเด็นวัฒนธรรม เพราะเรามองว่านอกจากเศรษฐกิจของเมืองจะเป็นเรื่องสำคัญแล้ว เบื้องหลังก็คือ ผู้คน ที่ขับเคลื่อนทุกอย่างให้เกิดขึ้น ซึ่งพอเราพูดถึงคนมุกดาหาร ที่นี่เรามีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ เป็นสังคมพหุวัฒนธรรมผสมผสานอยู่กันอย่างกลมกลืน มีคนไทย ที่มีรากเหง้าย้อนไปตั้งแต่ยุคล้านช้าง มีคนจีน และคนเวียดนามที่อพยพเข้ามาเพราะสงคราม และการแสวงหาโอกาสในการทำมาหากิน นอกจากนี้เรายังมีกลุ่มชนเผ่าอีก 8 ชนเผ่า ซึ่งมีหลักฐานว่าปรากฏว่าถูกกวาดต้อนมาอยู่อาศัยในพื้นที่แถบนี้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3
ทุกวันนี้ความหลากหลายของทุนวัฒนธรรม จึงมีให้เห็นตั้งแต่เรื่องเรียบง่ายอย่าง เรื่องอาหาร เครื่องแต่งกาย บ้านเรือนสถาปัตยกรรม และความเชื่อทางศาสนา ด้วยเหตุนี้โครงการจึงมองว่านี่แหละ คือ ต้นทุนที่เหมาะสมที่จะสร้างการเรียนรู้ และชวนคนมุกดาหารมาเรียนรู้เรื่องเมืองของตนเอง
นอกจากเรื่องทุนทางวัฒนธรรม เครื่องมือที่ชวนผู้คนมาเรียนรู้ร่วมกัน คือการสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับชีวิตของคนในเมือง อย่างการค้าการขาย แน่นอนว่าผู้คนจะสนใจแค่เรื่องเศรษฐกิจ เน้นการค้าขาย ให้ได้กำไรแล้วเอาตัวรอด คิดถึงแต่ตัวเองเป็นหลัก เราก็พยายามชวนคิด ชวนทำให้เกิดการเรียนรู้เรื่องต้นทุนของเมืองไปพร้อมกัน หากปล่อยไว้ให้ต่างคนต่างค้าต่างขายไป โดยไม่มีส่วนร่วมคิดถึงประเด็นเมือง ก็จะไม่เกิดการเรียนรู้ ไม่คิดเรื่องเมือง เมืองก็จะไร้ทิศทาง ต้องชวนคนมาแชร์มาร่วมมือกัน”
