รองศาสตราจารย์ ดร.ดวงพร ภู่ผะกา
อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
“งานวิจัยเข้ามามีบทบาท คือ เป็นตัวประสานทุกภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ และพยายามชวนกันมองภาพอนาคตให้การเรียนรู้พัฒนาถิ่นฐานบ้านเกิดของเรา”
เมื่อฉะเชิงเทราริเริ่มวิจัยเพื่อสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้
“จุดเริ่มต้นในการพัฒนาโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้เริ่มมา เรามองเห็นว่าความเปลี่ยนแปลงของจังหวัดฉะเชิงเทรากำลังเกิดขึ้น หลังจากการพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรมเพราะฉะนั้นความต้องการแรงงานที่มีทักษะจากคนในท้องถิ่นก็มีมากขึ้น และความต้องการในการเตรียมความพร้อมของแรงงานจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะเป็นตัวชี้วัดของการมีอาชีพและรายได้ การเรียนรู้จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาทักษะของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการ Upskill และ Reskill การยกระดับการศึกษาในพื้นที่ให้เชื่อมโยงกับความเปลี่ยนแปลง หรือการนำเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมมาร่วมเติมเต็มกับการเรียนการสอน ซึ่งตรงนี้จะต้องอาศัยการบูรณาการข้ามหน่วยงาน งานวิจัยจึงเข้ามามีบทบาทตรงนี้ คือ การเป็นตัวประสานทุกภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ทำข้อมูลของเมือง และพยายามชวนกันมองภาพอนาคตให้การเรียนรู้พัฒนาคน ชุมชน และเมืองบ้านเกิดของเรา”
“ส่วนที่ 2 คือ นอกจากการหารายได้แล้ว เรายังต้องการยกระดับการจัดการเมือง โดยประสานและทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายของมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ นำการเรียนรู้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเมือง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นธงนำในการพัฒนาและเป็นที่มาของจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเมืองด้วยแนวคิด ‘เมืองแห่งการเรียนรู้’ ให้เหมาะสมกับคนฉะเชิงเทราในทุกช่วงวัยในครั้งนี้ค่ะ
ส่วนที่ 3 คือ เราประชุมสร้างกระบวนการ co-creation ร่วมกัน และตั้งคณะทำงานอดีตท่านนายกเทศมนตรีของจังหวัดฉะเชิงเทรา นายกฯ กลยุทธ์ ฉายแสง เป็นประธาน โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ ซึ่งเราเป็นเครือข่ายกับทาง UNESCO อยู่แล้ว คณะกรรมการชุดนี้มีบทบาทมาช่วยกันคิดการขยายผล และสร้างความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ เช่น สภาวัฒนธรรมของจังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่ม YEC กลุ่มท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ กำหนดพื้นที่นำร่องพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ ซึ่งพอมีคณะกรรมการและแนวทางการทำงานแล้ว การขับเคลื่อนงานวิจัย ‘เมืองแห่งการเรียนรู้’ ปีที่ 2 เราก็สามารถพัฒนาโมเดลการเรียนรู้ได้ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำร่วมกับ “ศูนย์การเรียนรู้ KCC” การใช้พื้นที่สาธารณะเพื่อสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ เพิ่มขยายรูปธรรมไปยังกลุ่มภาคอุตสาหกรรม กลุ่ม YEC และสถานประกอบการ รวมถึงการขยายผลไปยังพื้นที่เมืองบางคล้า ที่เทศบาลตำบลบางคล้า ทำให้เรามี Learning Space ซึ่งเป็นต้นทุนของวัฒนธรรมเพิ่มเติมเข้ามา การดำเนินงานส่วนนี้ก็เริ่มเข้าไปเชื่อมโยงกับงานด้านนโยบาย เช่น การกำหนดแนวทางในการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ซึ่งปรากฏในแผนของจังหวัดฉะเชิงเทรา และการส่งเสริมเมืองของเราให้เข้าร่วมประกวดเพื่อรับโครงการหรือรับรองมาตรฐานการบริหารจัดการเมืองในหลาย ๆ โอกาส”
บทบาทของนักวิจัย นักวิชาการ และมหาวิทยาลัยในการทำงานร่วมกับท้องถิ่น และการพัฒนาเมือง
“Position ของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาเมือง เรามองว่าเราเป็น “ข้อต่อกลาง”ในการขยับขับเคลื่อน เพื่อให้ทุกคนได้เข้ามาพบปะ เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อร่วมคิด และกำหนดทิศทางของเมือง โดยเราให้ความสำคัญกับภาคีความร่วมมือ ตั้งแต่ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม แล้วก็กลุ่มหนึ่งก็คือ คนรุ่นใหม่ที่มี ไฟ เราจะทำยังไงให้ทุกคนที่มีใจ มาช่วยกันคิดเพื่อเมืองฉะเชิงเทรา แล้วมองเห็นภาพเป้าหมายคล้ายคลึงกัน”
“สิ่งที่จะเป็นภาพในอนาคตได้นั้น ก็ต้องดูข้อมูลพื้นฐานเมือง (Baseline) หรือต้นทุนของเมือง ทั้งวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น มีอะไรบ้าง สร้างเศรษฐกิจเป็นอย่างไร รายได้ของคนทุกช่วงวัย รายได้ของคนในเมือง ประกอบกับแผนภาครัฐ ทั้งระดับท้องถิ่นและจังหวัด แล้วจึงจัดลำดับความสำคัญ โดยพิจารณาสิ่งที่สำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ซึ่งเราพบว่า คือ เรื่อง การพัฒนาคน ตั้งแต่คนทุกช่วงวัย กลุ่มเปราะบาง ลำดับถัดมา คือ เรื่องการเสริมศักยภาพระบบและกลไกในการดูแลผู้คน และพิจารณาเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาเมือง ซึ่งตรงนี้ เรามองว่ามหาวิทยาลัยมีเครื่องมือทางวิชาและเครื่องมือในการพัฒนาอยู่ ซึ่งบทบาทของมหาวิทยาลัยจึงเป็นการเข้าไปสนับสนุนในกระบวนการพัฒนาเมือง ทั้งการพัฒนาคน พัฒนาระบบและกลไก และใช้เครื่องมือที่เหมาะสม สอดคล้อง และใช้ต้นทุนของเมืองเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับเมือง”

“สิ่งที่อยากให้เห็นก็คือ Platform ขนาดใหญ่ เป็น Learning City Platform ที่ทุกคนได้มาร่วมเรียนรู้ และร่วมประสบความสำเร็จไปด้วยกัน”
ผลลัพธ์การพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้กับการพัฒนาเมืองฉะเชิงเทราในวันนี้
“ภาพของ ณ วันนี้ ที่เห็นชัดเจนคือ ความสุขของคนทุกกลุ่มที่มาทำงานร่วมกัน กลุ่มค้าขายก็มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน กลุ่มคนที่สนใจการเรียนรู้หรือกิจกรรมสร้างสรรค์ ก็ได้โอกาสและพื้นที่ในการทำกิจกรรม องค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ ก็ทำงานสอดประสานกันได้ดี และเห็นภาพการพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ร่วมกันอย่างชัดเจน สังเกตจากทุกกิจกรรม แทนที่จะเป็นเพียงกิจกรรมเพื่อพัฒนาเมืองอย่างเดียว แต่ผลลัพธ์ของกิจกรรมเหล่านี้นำไปสู่ความพยายามในการพัฒนาระบบ เช่น การพัฒนาระบบการศึกษานอกห้องเรียน การพัฒนาคุณภาพชีวิต”
“อีกส่วนที่สำคัญ คือ เรื่องของการสร้างรายได้ ความเป็นเมืองใน EEC นั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่เราจะต้องคิดและทำเรื่องการพัฒนาคนในเมือง การจัดกิจกรรม Upskill และ Reskill ส่งผลดี คือ ทำให้คนมีทักษะที่แข็งแกร่งและหารายได้เพิ่มขึ้น หรือบางคนได้อาชีพใหม่ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เราคาดหวังและเริ่มเห็นผลสำเร็จทีละขั้น และแนวคิดในการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกับความพยายามพัฒนาของเมือง อย่างที่เราคาดหวังไว้”
เมืองแห่งการเรียนรู้ กับการมองอนาคตเมืองฉะเชิงเทรา
“ภาพอนาคต จริง ๆ อาจารย์อยากชวนทุกคนมองให้ไปถึงการมี Platform ขนาดใหญ่ที่สามารถเชื่อมโยงทุกภาคส่วนเพื่อสร้างนิเวศการเรียนรู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ หรือ “Learning City Ecosystem for Economy” ซึ่งหมายความว่า การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นการเรียนรู้ในทุกมิติ และเมื่อเกิดการเรียนรู้แล้ว ก็จะต้องช่วยสร้างเศรษฐกิจเคียงคู่กันไปด้วย เพื่อให้การเรียนรู้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคน และสามารถจับต้องผลดีที่เกิดขึ้นได้ สำหรับมหาวิทยาลัย เรายินดีเป็นข้อต่อกลางในทุกกิจกรรม แต่การจะขับเคลื่อนให้สำเร็จได้ เราต้องมีเป้าหมายร่วมกัน และความร่วมมือที่ช่วยกันผลักดันโจทย์ร่วมของเราให้ไปถึงเป้าหมาย เพราะฉะนั้น สิ่งที่อยากให้เห็นก็คือ Platform ขนาดใหญ่ เป็น Learning City Platform ที่ทุกคนได้มาร่วมเรียนรู้และร่วมประสบความสำเร็จไปด้วยกันค่ะ”
ติดตามการขับเคลื่อน เมืองฉะเชิงเทราสู่การเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ UNESCO ได้ที่ แปดริ้ว สายนที วิถีวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ฉะเชิงเทรา เทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา และ งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาพื้นที่ บพท.
#ChachoengsaoLearningCity#เทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา#มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ฉะเชิงเทรา#บพท#pmua#thailandlearningplatform



