เมืองธาตุพนมเมืองศักยภาพสูง

ผศ.ดร. กชกร เดชะคำภู หัวหน้าโครงการธาตุพนมเมืองแห่งการเรียนรู้ 
อาจารย์สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม

เมืองธาตุพนมมีศักยภาพสูงมาก ต้องหาทางช่วยกันสร้างให้เกิดประโยชน์ กับกลุ่มข้าโอกาสฯ กลุ่มเคียงวัด เคียงเมือง และทุกคนที่มาเยือน

“จากจุดเริ่มต้นของการทำงาน เรามองว่าธาตุพนมเป็นเมืองที่มีศักยภาพ คำถามคือ ทำไมคนในธาตุพนมจึงไม่ได้รับผลประโยชน์หรือโอกาสเหล่านั้นอย่างเต็มที่กว่านี้ การท่องเที่ยวเป็นแบบระยะสั้น นักท่องเที่ยวมาแล้วก็หายไป ไม่ได้มาพัก ไม่ได้มาทำกิจกรรม หรืออยู่ยาว นอกจากนี้ เรายังพบว่าจริง ๆ แล้วเรามี “พื้นที่แห่งโอกาส” อยู่พอสมควร แต่ยังมีคนธาตุพนมที่เข้าไม่ถึงโอกาส โดยเฉพาะคน “หลังวัด” ถ้ามองด้วยสายตากรุงเทพฯ สักหน่อย ก็จะบอกว่าสภาพคล้าย ๆ ชุมชนแออัด ที่เข้าไม่ถึงโอกาสดี ๆ หรือกลุ่มน้อง ๆ ที่ Drop out ออกจากการศึกษาในระบบ มาเป็นช่างภาพหารายได้ตามพ่อแม่ ที่รับถ่ายภาพรอบองค์พระธาตุ ซึ่งจริง ๆ แล้ว การศึกษาภาคบังคับก็ยังสำคัญและจำเป็นสำหรับพวกเขาโจทย์ของพื้นที่จึงมีอยู่มาก และละเอียดซับซ้อน

การนำเอาเครื่องมือ “การสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้” เข้ามาช่วยโจทย์พัฒนาเมืองธาตุพนม จึงต้องทำหลายอย่างควบคู่กันไป งานแรกคือ “การประสานทุกกลุ่ม” คงไม่ใช่แค่ประสานสิบทิศ แต่ต้องเรียกว่ายี่สิบทิศ ทั้งประสานกับวัด หน่วยงานราชการ ชุมชนข้าโอกาสฯ คนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่ เราแบ่งง่าย ๆ เป็นกลุ่ม ๆ ได้แก่ กลุ่มข้าโอกาส กลุ่มเคียงวัด หรือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับวัด ทั้งอยู่อาศัยรอบ ๆ และทำมาหากินแถวนี้ กลุ่มเคียงเมือง คือกลุ่มที่อยู่ในเมืองธาตุพนม เข้ามาเกี่ยวข้องกับวัดตามวาระโอกาส

การประสานงานกับกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ เราต้องเข้าทุกจุด และเข้าให้ถูกจุด ชวนให้เขาเข้าใจภาพรวมไปกับเรา ว่า “เมืองแห่งการเรียนรู้” จะมาทำอะไร และช่วยให้อะไรดีขึ้นบ้าง ส่วนของ “กิจกรรมการเรียนรู้” กับ “พื้นที่การเรียนรู้” เราวางไว้ว่า จะมีพื้นที่การเรียนรู้ 3 แห่ง และมีกิจกรรมการเรียนรู้ 10 กิจกรรม พื้นที่การเรียนรู้แห่งแรก คือ “หอจดหมายเหตุ” แห่งที่สอง คือ “ที่ว่าการอำเภอเก่า” ซึ่งเหมาะสมและผู้คนก็อยากให้พื้นที่ตรงนั้นเป็นพิพิธภัณฑ์เมือง ความพิเศษของพื้นที่คือ สมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เคยเสด็จฯ พื้นที่ที่สาม คือ “สถูป” ที่รวมอิฐเก่าจากพระธาตุพนมองค์เดิม ซึ่งจริง ๆ แล้วก็สวยและมีเรื่องราวน่าเรียนรู้ ส่วนกิจกรรมการเรียนรู้ เรามุ่งไปที่การเสริมศักยภาพให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้และทักษะไปต่อยอดอาชีพของตนเองได้

กิจกรรมการเรียนรู้แรก คือ การนำดอกดาวเรืองที่คนนำมาไหว้องค์พระธาตุพนม มาคิดต่อว่าจะสร้างเป็นอาชีพให้คนในชุมชนได้อย่างไร ทำให้เขาเห็นว่าดอกไม้ 2,500,000 ดอก ซึ่งเก็บรวบรวมภายใน 10 วัน หากนำมาต่อยอดเป็นอาชีพได้ จะดีแค่ไหน แถมยังช่วยลดปริมาณขยะได้ด้วย จึงเกิดเป็นกิจกรรม “ผ้ามัดย้อมจากสีดอกดาวเรือง” ที่เราชวนคนในชุมชนและเยาวชนเข้าร่วม

กิจกรรมที่ 2 นักวิจัยของเราเห็นว่า “วงพิณพาทย์อีสานล้านช้าง” ที่มีอยู่ ควรได้รับการพัฒนาต่อยอด เพราะนอกจากมีที่วัดและที่โรงเรียนธาตุพนมแล้ว เราจะทำอย่างไรให้ต่อยอดถึงเยาวชนในระดับประถม เช่น โรงเรียนอนุบาลวัดพระธาตุพนม เพื่อสืบสานวัฒนธรรมพื้นถิ่นของเรา ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดี ท่านนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลธาตุพนม ซึ่งร่วมทำงานกับเรา ก็ได้อนุญาตให้ใช้อาคารสองหลังที่ไม่ได้ใช้งาน มาทำเป็น “พื้นที่การเรียนรู้” และกำลังช่วยดูลู่ทางในการสนับสนุนเครื่องดนตรีพิณพาทย์ให้กับโรงเรียนเพิ่มเติมอีกด้วยอีกกลุ่มที่เรากำลังพัฒนางานวิจัย และใช้เครื่องมือ “เมืองแห่งการเรียนรู้” เข้าไปสนับสนุนศักยภาพ คือ “กลุ่มเคียงวัด” โดยเฉพาะคนที่อยู่อาศัยบริเวณหลังวัด ซึ่งอาชีพหลักคือ รับจ้างถ่ายภาพ ขายดอกไม้ ไม่มีอาชีพเสริม และไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง อาศัยอยู่บนที่ดินวัด

อีกกลุ่มใน “คนเคียงวัด” คือ กลุ่มกรรมการวัด ที่เน้นเรื่องการเรียนรู้เกี่ยวกับวัดและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมือง กลุ่มที่สามคือ “กลุ่มข้าโอกาสพระธาตุพนม” เป็นผู้ปลูกดอกไม้มาส่งวัด และรับจ้างงานต่าง ๆ ในวัด กลุ่มที่สี่คือ “กลุ่มคนเคียงเมือง” คือกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่มีส่วนร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเมือง กลุ่มนี้จะค่อนข้างมีเงิน โจทย์เรื่องการเรียนรู้จึงต่างออกไป จะเน้นไปที่การมีส่วนร่วม และการรับรู้ถึงคุณค่าของเมืองธาตุพนม

เป้าหมายของการขับเคลื่อน “ธาตุพนม เมืองแห่งการเรียนรู้” นอกจากในช่วงระยะเวลาการทำโครงการวิจัย และนำเครื่องมือกับกิจกรรมต่าง ๆ เข้าไปทำงานร่วมกับชุมชนแล้ว เรายังมองถึง “โอกาสของการเป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโก (GNLC)” ซึ่งจะช่วยทำให้แนวคิดเรื่องการสร้างการเรียนรู้นำมาใช้อย่างเป็นทางการและต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของท้องถิ่น เอกชน และประชาชน เกิดพื้นที่การเรียนรู้และ Digital Platform เป้าหมายปลายทางคือ การปกป้องทำนุบำรุงองค์พระธาตุพนม คนที่ทำงานและเกี่ยวข้องมีรายได้ เมืองมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และเกิด “กองทุนเมือง-วัด-โรงเรียน (มวร)” ที่มีหัวใจคือการร่วมมือจากทุกฝ่าย เราเคยจัดประชุมทั้งส่วนราชการ พระ และชุมชน โดยมีทุกฝ่ายเป็นกรรมการ เป็น “กองทุน” ที่ไม่ใช่กองทุนบริจาค แต่เป็นกองทุนที่เกิดจากรายได้ที่มาจากอาชีพที่เกี่ยวข้องกับองค์พระธาตุและเมืองธาตุพนม

เรามองไว้ว่ารายได้จะมาจากช่องทางไหนได้บ้าง เช่น การต่อยอดดอกดาวเรือง ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง หรือ “การไหว้พระธาตุขอพรออนไลน์” ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราได้ลองพูดคุยกับคนที่ทำงานแบบนี้ในพื้นที่ ก็เห็นทั้งโอกาสและความตั้งใจของพวกเขาที่อยากมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชนเมืองธาตุพนมหรืออย่าง “วงดนตรีพิณพาทย์อีสานล้านช้าง” ก็มีการจัดระบบการแสดงให้เป็นระบบ มีการปันผลให้กับน้อง ๆ นำรายได้บางส่วนเข้ากองทุน เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์และสืบทอดดนตรีพิณพาทย์ รวมถึงดูแลวัดพระธาตุ เราคิดว่าถ้าทำให้เป็นรูปธรรม มีความเชื่อมั่น มีกรรมการ และโปร่งใส กองทุนนี้จะเป็นกลไกที่เชื่อมโยงกับคนอีกหลายกลุ่มได้ในอนาคต

กิจกรรมการเรียนรู้ ดอกดาวเรือง – ที่วัดพระธาตุพนมมีคนนำมาไหว้บูชาเยอะมาก เราได้ขออนุญาตพระ แล้วให้เด็ก ๆ เข้าไปช่วยเก็บ นำไปทดลองย้อมสี แทนที่จะเอาไปทิ้งเป็นขยะ เราคิดต่อจากศักยภาพของคนนครพนมที่ผลิตผ้าย้อมครามจนโด่งดังระดับประเทศ วิธีการคือ เด็ดกลีบดอกเล็ก ๆ แล้วนำไปตาก เก็บไว้ พอถึงเวลาเราจะย้อม จึงนำมาต้ม โดยมีส่วนผสมของเกลือและสารส้มเป็นตัว Fix สี ในอนาคต นอกจากผ้าและเสื้อ เรายังอยากต่อยอดทำ “ผ้าอาบน้ำฝน” วางจำหน่ายที่ร้านสังฆทาน ก่อนถึงจุดนั้น เราก็กำลังวางระบบให้เด็ก ๆ หรือคนที่อยู่หลังวัดมาร่วมและดูแลกิจกรรม มีบูธย้อมสีดอกดาวเรือง มีผลิตภัณฑ์จากผ้าสีดอกดาวเรือง และทำการคัดแยกดอกไม้ไปพร้อม ๆ กัน



ขันหมากเบ็ง (บายศรี) และดอกผึ้ง – ถือเป็นของบูชาพระธาตุที่คนนิยมนำมาสักการะ และเป็นอาชีพสร้างรายได้ให้คนธาตุพนม โดยเฉพาะชุมชนและผู้สูงอายุที่เป็นคนผลิต ของเหล่านี้เวลาจะไหว้ต้องมาเป็นชุด และมีความหมายเมื่อเราเห็นกระแส “สายมูออนไลน์” จึงคิดว่าน่าจะเชื่อมโยงกันได้ดี ทั้งการขยายกลุ่มลูกค้า และการสื่อสารเรื่องราวความหมายของเครื่องสักการะและพระธาตุพนม ผู้สูงอายุที่อยู่ติดบ้าน มีทักษะ ความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ก็สามารถทำเป็นอาชีพได้ มีรายได้ มีคนรู้จัก เกิดคุณค่าความภูมิใจในตนเองมากขึ้น และอยู่อย่างมีความสุข

มัคคุเทศก์น้อย – เดิมทีทางหลวงพ่อเจ้าอาวาสเคยทำกิจกรรมนี้มาก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็หยุดไป พอเรานำกลับมาทำอีกครั้ง เด็ก ๆ ดีใจมาก เพราะได้ฝึกการสื่อสาร และมีรายได้
ในช่วงเทศกาลที่คนมาเที่ยวเยอะ “ศูนย์กะละแมโบราณ” กลายเป็นแหล่งให้ข้อมูล แต่ยังไม่มีระบบมัคคุเทศก์ที่ชัดเจน ถ้าเราสร้างระบบมัคคุเทศก์น้อยได้ดี จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งเด็ก ๆ และนักท่องเที่ยว

ช่างภาพ – เรื่องนี้มีหลายมุมมอง บางคนมองว่าเป็นเรื่องที่วัดควรจัดระเบียบและส่งเสริมทักษะ แต่เรามองว่าเป็นโอกาสในการใช้ “ความรู้” เข้าไปช่วย โดยมีอาจารย์ของเราไปให้คำแนะนำเรื่องเทคนิคการถ่ายภาพ เพื่อให้ช่างภาพสามารถขยายศักยภาพของตนเองไปทำงานด้านอื่น ๆ ได้ ไม่ต้องมานั่งรอถ่ายภาพที่วัดอย่างเดียว
ช่างภาพหลายคนก็อยากให้เราช่วยทำระบบการจัดการ เพื่อให้เกิดระเบียบ เช่น การลงทะเบียนว่าใครเป็นช่างภาพในพื้นที่จริง ๆ ไม่ใช่ใครจะมาตั้งบูธหรือเอารถมารอถ่ายภาพก็ได้

กะละแม – จริง ๆ เป็นโครงการแรก ๆ ที่เราทำกับพื้นที่ และต่อยอดกันมาเรื่อย ๆ เราอยากให้สมาชิกที่ทำงานร่วมกันช่วยกันพัฒนา “ศูนย์การเรียนรู้กะละแมโบราณ” ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้เต็มรูปแบบ เพื่อรองรับการดูงานหรือผู้ที่สนใจเรียนรู้ เช่นเดียวกับเรื่อง “ดอกดาวเรือง” ที่เราก็อยากให้มี “ศูนย์การเรียนรู้ผ้ามัดย้อม”เกิดขึ้น เพราะดอกดาวเรืองสามารถใช้ในการสักการะได้ตลอด แต่ทุกวันนี้ชุมชนจะปลูกและส่งวัดเพียง 3 เดือน การปลูกนอกฤดูและต่อยอดดอกดาวเรืองเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และควรช่วยกันผลักดันต่อไป

**Credit ภาพ
โครงการธาตุพนมเมืองแห่งการรียนรู้, มหาวิทยาลัยนครพนม


ติดตามความก้าวหน้างานวิจัยธาตุพนมเมืองแห่งการรียนรู้ได้ที่ ธาตุพนม Learning City และ งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาพื้นที่ บพท.
___
.
#THATPHANOM #THATPHANOMLEARNINGCITY #ธาตุพนมเมืองแห่งการเรียนรู้
#พระธาตุพนม #ธาตุพนม #นครพนม #เมืองแห่งการเรียนรู้
#ข้าโอกาสพระธาตุพนม #มหาวิทยาลัยนครพนม
#thatphanomlearningcity #Thailandlearningcityplatform
#เมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย #thecityleaders #pmua #บพท

Share :